เรื่องย่อ
ตำรวจสายสืบฮ่องกง “คิท” ได้ทำการจับกุมแก็งค์อาชญากร แต่เขาถูกหักหลังและฉากบังหน้าของเขาได้พังลง เขาถูกลักพาตัวและถูกจับไปขังคุกในประเทศไทย ผู้คุมนักโทษ “ชัย” ทำหน้าที่ดูแลเรือนจำแห่งนี้ เขามีลูกสาวที่ที่ป่วยเป็นลูคีเมียและคิทเป็นคนเดียวที่สามารถบริจาคไขกระดูกเพื่อช่วยเหลือลูกสาวของเขาได้ คิทและชัยจึงตกลงและแหกคุกพร้อมทั้งการจัดการเหล่าแก็งค์อาชญากรด้วยกัน
คำสัมภาษณ์ผู้กำกับภาพยนตร์ – เจิ้งป๋อไช่
"โชคชะตา" เป็นแก่นหลักของการเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉะนั้นตัวละครแต่ละตัวจึงเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนเอง นักแสดงนำแต่ละคนมีชีวิตที่ต่างกัน และใช้ชีวิตอยู่คนละประเทศ (ฮ่องกง/ไทย) พวกเขาไม่รู้จักชึ่งกันและกัน แต่เบื้องหลังพวกเขาก็เหมือนมีสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นผูกพวกเขาไว้ด้วยกัน ระหว่างที่พวกเขาต่อสู้กับชะตาชีวิตก็ได้แสดงออกซึ่งตัวตนและการตัดสินใจที่แตกต่าง
เกี่ยวกับงานสร้าง
ครั้งแรกที่ถ่ายทำภาพยนตร์แอคชั่นกังฟู
ผู้กำกับเคยถ่ายทำภาพยนตร์แอคชั่น แข่งรถ ยิงปืนและอื่นๆ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ถ่ายแอคชั่นกังฟู เปนครั้งแรกของเขาที่จะได้ร่วมงานกับแอคชั่นสตาร์ชั้นนำของสามนักแสดงหลัก (อู๋จิง, จา พนม, แม็กซ์ จาง)เขายังอยากจะให้ผู้ชมได้อินกับตัวละครในเรื่องราวและเข้าใจถึงคาเร็ตเตอร์ของตัวละครด้วย
การเลือกประเด็น – โรคภัยไข้เจ็บ
เพื่อเป็นการอธิบายหัวข้อหลัก "โชคชะตา" ทางทีมงานจึงได้เลือกการเล่าเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาเพื่อสื่อถึงชีวิตในบทบาททุกตัวละครที่ต้องเจอเพื่อแสดงให้เห็นถึงเมื่อมนุษย์เผชิญกับชีวิตเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีการเลือกเส้นทางชีวิตแบบใด
ชะตากรรมการเชื่องโยงระหว่างจีน ไทย และฮ่องกง
อู๋จิง เป็นคนจีน จา พนมเป็นคนไทย ส่วนเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นที่จากฮ่องกง จะนำทั้งสามประเทศมาเชื่อมโยงกันต้องใช้รายละเอียด ผู้กำกับจึงใช้คำว่า “ชะตากรรม” เพื่อมาเป็นการสานต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งตัวและไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปยังไร ในหนัง อู๋จิงที่เป็นสายลับมีชะตากรรมที่ผูกพันธ์กับจา พนม เพราะเป็นคนที่สามารถช่วยชีวิตลูกสาวของจา พนมได้ และสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงก่อให้เกิดการหักมุมของเรื่องราว
รอแบบมีความมุ่งมั่น
ในเรื่องลูกสาวของจา พนม ชื่อ สา รับบทโดยนักแสดงเด็กไทย จา พนมผู้เป็นพ่อไม่ได้เป็นผู้ที่เก่งกาจอะไร แต่เมื่อต้องเผชิญกับโรคร้ายของลูกก็ยอมสละตน สิ่งที่เขาต้องเจอในการช่วยชีวิตของลูกคือต้องใช้วิธีสกปรกกับการต้องเสียสละชีวิตของเด็กคนอื่น
เรื่องราวดำเนินต่อโดยที่จะบอกว่าสาเป็นคนช่วยชีวิตอู๋จิงก็ว่าได้ เพราะสาได้ทำให้เขาหลุดพ้นจากอดีตที่เจ็บปวด
ผู้กำกับบอกว่า วิธีการแก้ปัญหาคือ “รอ” คำนี้อาจจะฟังแล้วดูไม่มีความหวัง แต่การรอนั้นแสดงถึงว่าในใจของเรายังไม่หมดหวัง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าวิธีการแก้จะออกมาตอนไหน การรอนั้นจึงเป็นแรงกระตุ้นของชีวิต ผู้กำกับอยากถ่ายทอดความคิดนี้ให้กับผู้ชมให้ผู้ชมมีทัศนคติที่ถูกต้อง แต่เมื่อคนเรากำลังเผชิญด้วยตนเองนั้นอาจจะยากที่จะคิดแบบนี้ เพราะช่วงเวลาระหว่างการรอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การถ่ายแบบแทคเดียวไม่ตัดต่อ
โดยปกติแล้วหนังแอคชั่นยากที่จะชักจูงความรู้สึกของผู้ชม ผู้กำกับจึงอยากใช้สัญชาตญาณในการถ่ายทำจึงได้ใช้วิธีถ่ายทำแบบต่อเนื่องโดยไม่ใช้การตัดต่อ(Long Take) เพื่อให้หนังออกมาดี นักแสดงพิเศษสองร้อยคนและนักแสดงนำทั้งสามต้องเข้าฉากต่อสู้พร้อมกับทีมกล้อง นี้เป็นเรื่องที่ทดสอบความสามารถ และกำลังของนักแสดงเพราะมีความยากมาก ผู้ชมจะสัมผัสถึงความตั้งใจของนักแสดงอย่างแน่นอน
ใช้การค้าอวัยวะมนุษย์เป็นประเด็นหลัก
เมื่อตกลงกันว่าจะมีเส้นสัมพันธ์ระหว่างคิทกับสาแล้วนั้น ทีมผู้สร้างจึงอยากสื่อด้วยเรื่องของชีวิต การค้าอวัยวะจึงเป็นประเด็นที่ตรงและสำคัญที่สุด เพราะการค้าอวัยวะมนุษย์มีตลาดที่กว้างขวาง เพราะระดับชีวิตของคนดีขึ้นทำให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การแพทย์พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เมื่ออวัยวะในร่างกายทรุดโทรมก็สามารถใช้เงินซื้ออวัยวะใหม่ได้ ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องการอวัยวะจำนวนมาก ถ้าใช้วิธีแบบทั่วไปไม่สามารถตอบสนองความต้องการนั้น จึงทำให้มีการค้าแบบผิดกฎหมายมากขึ้น เมื่อทีมงานทำการสำรวจนั้น ได้พบว่าคนหายสาปสูญจำนวนมากมาจากการค้าที่ผิดกฎหมายนี้ บางส่วนก็ถูกหลอกบางส่วนก็ยินยอมเอง เพราะในประเทศที่ด้อยพัฒนา เพื่อปากท้องบางคนก็ยอมขายอวัยวะของตน พ่อค้าบอกว่าจะเพียงครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสองของอวัยวะที่มีอยู่จะไม่กระทบกับสุขภาพ แต่แท้จริงแล้วจะทำลายสุขภาพแบบไม่มีวันหวนคืน การค้านี้อาจจะช่วยชีวิตของคนหนึ่งคนแต่ต้องแลกกับชีวิตของอีกคนจึงทำให้ยากที่จะแยกแยะถูกผิด แต่ทั้งหมดนี้คือข้ออ้างของพ่อค้าที่บอกว่าตนนั้นกำลังช่วยคนอื่นอยู่ บทบาทของกู่เทียนเล่อก็มาจากการข้อมูลส่วนนี้เพื่อเน้นให้มีบุคลิคที่ชัดเจนมากขึ้น
เกี่ยวกับฉากแอคชั่น
ส่วนที่ท้าทายสุดของหนังเรื่องนี้คือท่าทางแอคชั่นกังฟูต่างๆที่ต้องสื่อถึงบุคลิคของตัวละคร ตัวละครที่ Max Zhang แสดงต้องเป็นหัวหน้าผู้คุมที่มีนิสัยเก็บกดทำให้หมัดที่ต่อยออกมาต้องแสดงถึงความเร็ว เท่ และโหดเหี้ยม เพื่อให้ผู้ชมดูแล้วรู้สึกประทับใจ ในส่วนของจาพนมที่รับบทเป็นพ่อที่มีลูกสาวป่วยหนัก จึงต้องสร้างให้มีบุคลิกที่เข้มแข็ง ต้องใช้เพียงหมัดเดียวกำจัดผู้ต่อสู้ให้ได้ จึงมีการเพิ่มฉากหนึ่งคนสู้สิบคนขึ้นมา และได้ใช้ท่าที่จา พนมถนัดและตรึงตาผู้ชมคือท่าตีลังกา ด้านของ อู๋จิง ที่รับบทเป็นสายลับมีความท้าทายในส่วนของแอคชั่นท่าทางมากที่สุดเพราะคาแรกเตอร์ต้องเป็นคนที่อยากจะหนีออกจากคุก ทำอย่างไรจึงจะแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ถูกกดดันในสภาวะเช่นนั้น ท่าทางของเขาจึงต้องมีความไวและอันตราย ฉากที่ประทับใจสุดคือฉากที่กระโดดลงน้ำจากตึกสามชั้นและว่ายขึ้นสปีดโบ๊ทแล้วหนีไป แสดงถึงการพยายามสู้เพื่อเอาตัวรอด ทั้งหมดนี้คืออยากจะบอกกับผู้ชมว่านักแสดงมีความพยายามและตั้งใจ ถึงจะมีการบาดเจ็บแต่ก็แสดงอย่างสุดฝีมือ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสู้และใจรักของนักแสดงในเรื่องนี้
อู๋จิง รับบท คิท ตัวละครในเรื่องเป็นตำรวจสายลับ เพื่อปฎิบัติภารกิจกับการต้องปลอมตัวเป็นมาเฟียและต้องเสพยา อาที่เป็นตำรวจเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเขาจึงเจริญรอยตามทำอาชีพตำรวจ มีนิสัยที่รับฟังคำสั่ง แต่เหตุการณ์พลิกผันจนกระทั่งถูกจับตัวไปขังคุกในไทย และที่นั่นทำให้เขาได้ค้นพบตัวตนใหม่
ตัว อู๋จิง ใน ”ภาพยนตร์”กับ “ชีวิตจริงนอกจอ”
เขาบอกว่าในการเล่นหนังเรื่องนี้มีเพียงคำเดียวที่พูดได้เต็มปากคือ “ทรหดมาก” เพราะเรื่องราวและคาแรกเตอร์ที่แปลกไปจากเดิม เขาเชื่อว่าตนเองได้แสดงบทบาทใหม่ที่ผู้ชมไม่เคยเห็นและหวังว่าทุกคนจะชอบและรู้สึกแปลกใหม่ ระหว่างที่ถ่ายทำหนัง ชีวิตจริงของตนก็เจอกับหลายสิ่งทั้งบาดเจ็บ แต่งงาน แล้วก็บาดเจ็บ ถึงตอนมีลูก ทุกอย่างทับซ้อนกันหมด จึงบอกได้ว่าชีวิตจริงกับตัวละครมีความสัมพันธ์กันมากจนบางทีก็แยกไม่ออกว่าเรื่องไหนคือในจอเรื่องไหนนอกจอ
ในเรื่อง อู๋จิง กับจา พนม มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน โชคชะตานำพาสองคนให้มาเจอกัน ผู้กำกับบอกว่า “สิ่งที่ผิดมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ใช่เสมอ” ทำให้ตัวเขานำมาเป็นคำพูดเตือนใจเสมอว่า ขอให้เชื่อมั่นและใฝ่หาต่อไป อย่างไรก็ตามมันย่อมต้องมีทางออกให้เสมอหนังเรื่องนี้ทำให้เขาเชื่ออีกว่าถ้าคนมีเป้าหมายและศรัทธาในชีวิตทุกอย่างก็จะบรรลุด้วยดี
เกี่ยวกับโชคชะตา เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีความยุติธรรมไม่มีสิ่งไหนที่ได้มาฟรี และไม่ใช่ว่าถ้าเราเสียสละแล้วจะไม่ได้ผลตอบแทน ชีวิตมีค่ามากกว่าจะเอาเงินทองหรือสิ่งใดมาเทียบ การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ทำผู้กำกับได้ให้ประสบการณ์ชีวิตเขาไว้มากมาย
ฉากที่อู๋จิง จำได้ดีที่สุดคือฉากแรกที่ต่อสู้กับ จา พนมตัวเขาเองดีใจที่ได้ถ่ายหนังแอคชั่นกับผู้มีวิชาจริงอย่าง จา พนม ระหว่างที่ประลอง ฝีมือและท่าทางที่ตรงจังหวะทำให้รู้สึกสนุก ทั้งสองมีความนับถือและชื่นชมกันและกัน ในเรื่องมีฉากที่เขาต้องถูกคนอื่นเตะสามครั้ง ฉากนี้เขาโดนเตะไปประมาณห้าร้อยครั้งถึงจะได้ฉากนี้ออกมาตามความต้องการของผู้กำกับ นั่นทำให้เขามีบาดแผลเต็มตัวทั้งบนไหล่และเข่า และมีอีกฉากหนึ่งที่เขาต้องตกจากบันได ทำให้เขาเกรงว่าตัวเองจะบาดเจ็บ จึงเป็นเหตุให้ภรรยาต้องมาดูแลทั้งเขาและลูกถึงในกองกันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายเขาผ่านมันมาได้ และเขาภูมิใจที่ตัวเองทำได้
ความรู้สึกที่ได้มาถ่ายทำที่ประเทศไทย อู๋จิง ประทับใจในความเป็นมิตรและมีมารยาทของคนไทย และระบบกองถ่ายหนังของไทยที่ได้หยุดพักผ่อนอาทิตย์ละหนึ่งวัน ไม่เหมือนฮ่องกงที่ถ่ายหนักทีติดกันสามเดือน แต่เขาก็บอกว่ามีทั้งส่วนดีและไม่ดี การถ่ายแบบฮ่องกงนักแสดงทำงานติดกัน 30 ชม. ทำให้สามารถมีอารมณ์ที่ต่อเนื่องกับบทละคร แต่ไทยถ่ายทำแค่ 14 ชม.ทำให้อาจจะมีการขาดตอนของอารมณ์ นอกจากนี้แล้วเขาบอกว่าอาหารไทย“มีรสชาติที่ดีและอร่อยมาก”
เหริน ต๋าหัว รับบทเหมือนภาคที่แล้ว เขาเป็นตำรวจเขาเป็นอาของคิท เขาเป็นคนชักนำให้คิทเป็นตำรวจระหว่างที่คิทเป็นสายลับและต้องติดยา เขาต้องให้ความช่วยเหลือคิทตลอด เขาบอกว่าผู้กำกับค่อนข้างจะเน้นไปทาง มนุษยธรรม ทำให้ทุกฉากมีความสำคัญที่เท่าเทียมกัน มีฉากหนึ่งที่เขารู้สึกฝังใจมากที่สุดคือฉากที่คิทรู้สึกอยากเสพยาและซ่อนตัวไว้ในห้องน้ำทำให้เขาเห็นคนที่เขารักทรมานแต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย จึงแสดงถึงความเจ็บปวดและเสียใจ
ตัว เหริน ต๋าหัว เองเคยรับบทตำรวจในหนังหลายเรื่องแต่เรื่องนี้พิเศษตรงที่บุคลิกของตำรวจที่เขาแสดงในเรื่องนี้เป็นตำรวจที่ใกล้จะเกษียณจึงทำให้บทบาทตำรวจที่มีความเป็นคนธรรมดา แทนที่จะเป็นแบบตำรวจที่เคร่งขรึมและปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดแบบหนังที่ผ่านมา เรื่องนี้เขาจึงกลายมาเป็นตำรวจธรรมดาที่มีความคิดและจิตใจแบบคนทั่วไป
แม็กซ์ จาง รับบทเป็นคนจีนที่มีสัญชาติไทยและเป็นหัวหน้าพัศดีที่คุกแห่งหนึ่ง และฉากหลังคือการค้าอวัยวะมนุษย์ ฮวงเคยช่วยชีวิตและชุบเลี้ยงเขาไว้ เขาจึงยอมช่วยฮวงทำสิ่งผิดกฎหมายแม้จะเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภพายนตร์เรื่องแรกที่เขาร่วมมือกับผู้กำกับเจิ้งป๋อไช่ และเพื่อให้เข้าถึงตัวละครอย่างลึกซึ้งก็มีการปรึกษากับทีมงานเรื่องบทละครและบุคลิก ทำให้เข้าใจถึงการแสดงมากขึ้นและเข้าใจถึงคาแรคเตอร์ตนเอง
จา พนมถนัดมวยไทย ส่วน อู๋จิง ก็เก่งเรื่องกังฟูจีน จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหาท่ามาสู้กับทั้งสองคน มีฉากต่อสู้ที่เกือบทำให้เกิดการเจ็บตัวขึ้น อีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ พละกำลังในการต่อสู้ ที่ยากจะควบคุม ทำให้นักแสดงเจ็บตัวกันเยอะ ตัวผู้กำกับมีความคาดหวังที่สูง ทำให้นักแสดงทั้งสามเล่นจริงและเจ็บจริง แต่พวกเขาเชื่อว่ามันคุ้มค่าเมื่อผู้ชมดูแล้วรู้สึกถึงความเจ็บที่เกิดขึ้นจริง
บทสนทนาภาษาไทยก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะเสียงที่พูดออกไม่ถูกทำให้ดูตลก ต้องมีการเตรียมบทล่วงหน้าหลายวันเพราะผู้กำกับอยากให้สมจริงกับตัวละครที่อยู่ไทยมาหลายปีและสามารถสนทนาคำพูดทั่วไปให้ได้ นอกจากภาษาไทยแล้ว บางวันยังต้องพูดเกาหลี อังกฤษ จีนในวันเดียวกัน จึงเป็นความท้าทายอีกอย่างสำหรับนักแสดงทุกคน
กู่เทียนเล่อ ด้วยความที่บทของเขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการค้าอวัยวะมนุษย์ มีความสัมพันธ์กับคุกในไทย มีการร่วมมือในการค้าอวัยวะของนักโทษในคุก เขาเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องชายเขาที่มีกรุ๊ปเลือดเหมือนกัน ตัวละครนี้มีด้านมืดในตัวมาก ต้องเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอแต่มีหัวสมองที่เป็นผู้นำ ตัวบทเป็นคนป่วยจึงต้องใส่หน้ากากบ่อยเพื่อป้อนกันเชื้อโรคต่างๆ
เกี่ยวกับโชคชะตา หนังตอนที่แล้วก็ใช้โชคชะตาเป็นประเด็นหลักในการนำเสนอ ทุกคนย่อมมีผลบุญผลกรรมของตัวเอง ตัวเขาในเรื่องค้าอวัยวะแบบผิดกฎหมายและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงการค้าอวัยวะของเขาช่วยเหลือคนได้หลายคนแต่เขาก็ไม่ถือว่าเป็นคนดี สุดท้ายยังทำร้ายน้อยชายของตนเองได้ลง
ถึงบทบาทของเขาไม่ต้องมีบทแอคชั่น แต่ก็มีฉากตอนท้ายที่เขาต่อสู้กับน้องชายของเขา ฉากนั้นมีความยากอยู่มากเพราะอารมณ์ซับซ้อน เขาต้องฆ่าน้องชายของตนแต่ก็ไม่อยากให้น้อยชายตายจากไป เขาสองคนจึงปรึกษากันว่าต้องการเวลาวันหนึ่งในการเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร วันที่สองค่อยถ่ายทำ มาถึงวันที่ถ่ายทั้งสองมีการแสดงที่ดีเยี่ยม และอารมณ์ที่แสดงถึงความซับซ้อนของความรู้สึกออกมาได้ดี นี้เป็นฉากที่เขาพอใจมากที่สุด
กู่เทียนเล่อเคยร่วมงานกับผู้กำกับ เจิ้งป๋อไช่ มาแล้วทำให้เขารู้ว่าผู้กำกับมีความเป็นมืออาชีพมากในการถ่ายหนัง เขาบอกว่าเจิ้งป๋อไช่ มีวิธีถ่ายทอดเนื้อหาทั้งบนหน้าจอและนอกจอของหนัง ผู้กำกับจะคุยกับนักแสดงทุกคนอย่างทั่วถึง และมีช่องว่างให้นักแสดงได้แสดงความสามารถของตนมีความยืดหยุ่นที่ดี
หลอ ฮุยกวง (Ken Lo) รับบทเป็นพัศดี เป็นเพื่อนสนิทของจา พนมในเรื่องและเป็นพ่อบุญธรรมของสา พอเขารู้ว่าจาพนมต้องหาเงินรักษาลูกสาวก็ได้แนะนำให้มาทำงานเป็นพัศดี เป็นตัวละครที่มีจิตใจดีและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ในเรื่องมีบางฉากแอคชั่นที่ต้องถ่ายแบบเล่นจริง ตอนแรกคิดว่าจะมีสตั๊นท์แมนเพราะเขาอายุก็เยอะแล้ว แต่สุดท้ายก็เล่นเองและผ่านมันไปได้ดีทีเดียว เหตุเพราะทุกคนยังเชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขายังสามารถถ่ายเล่นหนังแอคชั่นได้ จึงมีกำลังใจในการถ่ายทำตัวเขาเองเกิดที่ประเทศลาวและเคยอาศัยอยู่ที่ไทยประมาณห้าปี จึงทำให้เขาสามารถพูดไทยได้ชัด และบทสนทนาภาษาไทยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย แต่เนื่องด้วยบทที่เขียนมาตอนแรกมีความยาวมาก เขาได้ปรึกษากับผู้กำกับเปลี่ยนให้เป็นภาษาพูดที่ง่ายมากขึ้นเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจกว่าเดิม
หลอ ฮุยกวง เห็นว่า น้องอันดาทั้งน่ารักและแสดงเก่งภายหลังถึงรู้ว่าน้องเป็นดาราเด็กที่กำลังดังอยู่ที่เมืองไทย มีฉากหนึ่งที่ทั้งสามต้องใส่บาตรตอนเช้าพร้อมกันฉากนั้นเป็นฉากที่เขาประทับใจมากที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น